ฟังเนื้อหาผ่าน Indybook’s Podcast

วันนี้ผมจะมาแชร์วิธีการเรียนภาษาอังกฤษแบบรวดเร็วเพื่อใช้ในการทำงานจากประสบการณ์ตรง เพื่อจะเป็นประโยชน์และเป็นกำลังใจกับคนที่กำลังฝึกฝนเช่นเดียวกัน

ผมเรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์มาซึ่งความรู้ภาษาอังกฤษแค่สอบพอผ่าน ไม่สามารถพูดหรือฟังได้เลย ซึ่งจากการสังเกตุของผมเองคือคนที่เก่งพวกวิชาคำนวณมักจะไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษรวมทั้งผมด้วย (ขอหาข้ออ้างนิดนึง 555)

จบมาก็ทำงานบริษัทต่างชาติอย่างเช่นบริษัทญี่ปุ่นบ้างอเมริกันบ้างได้ใช้ภาษาอังกฤษไม่มาก ส่วนใหญ่ก็แค่ส่ง email ซึ่งไม่ยากเพราะเรามีเวลาในการเขียนและสามารถเปิด Google Translator ได้ หัวหน้าโดยตรงก็เป็นคนไทยก็เลยไม่ค่อยมีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษมากมายนัก..

เมื่อช่วงปีที่แล้วมีเหตุให้ต้องย้ายงานอีกครั้ง แทบทุกที่ ที่ไปสัมภาษณ์หัวหน้าโดยตรงเป็นคนต่างชาติทั้งหมด ตอนนั้นได้งาน 3 บริษัท บริษัทแรกหัวหน้าเป็นชาวดัตช์ จากประเทศประเทศเนเธอร์แลนด์ บริษัทที่สองเป็นคนออสเตรเลีย บริษัทที่สามเป็นคนญี่ปุ่นแต่พูดภาษาอังกฤษเก่งมากเพราะเคยทำงานแถบยุโรป

ไม่เก่งภาษาอังกฤษแล้วสัมภาษณ์ผ่านได้ยังไง? เพราะผมเก็งข้อสอบและท่องเอา การฟังก็ไม่ถึงกับฟังไม่ออกเลย ก็พอจับใจความได้ ไม่ได้เข้าใจทุกประโยคอาศัยเดาบริบทของประโยคเอา ตอนที่เราต้องพูดก็พยายามพูดอธิบายสิ่งที่เราต้องการจะตอบแม้ว่าจะรู้สึกว่าแกรมม่าอาจจะผิดเยอะแต่ก็พยายามพูดไปก่อน

และประโยคเด็ดเวลาที่เค้าถามถึงจุดอ่อนก็บอกเค้าไปเลยว่าเราไม่เก่งภาษาอังกฤษกำลังพัฒนาอยู่ จริง ๆ เค้ารู้อยู่แล้ว แต่เค้าก็เห็นว่าเราพอจะสื่อสารได้ ประกอบกับความพยายาม

สุดท้ายผมก็เลือกทำงานกับบริษัทที่ 3 ซึ่งเป็นบริษัทญี่ปุ่น เพราะเป็นงานที่นำประสบการณ์การทำงานเดิมมาต่อยอดได้ดี หน้าที่ผมคือการติดต่อประสานงานทางด้านเทคนิคและงานขาย กับบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ สื่อสารกับลูกค้าในประเทศ ต้องทำงานกับคนต่างชาติเกือบทั้งหมด ประชุมเป็นภาษาอังกฤษ นำเสนอเป็นภาษาอังกฤษ

ตอนนั้นเครียดมากเนื่องจากผมไม่ได้เข้าใจภาษาอังกฤษแบบ 100% บางคนก็พูดช้าฟังง่าย บางคนพูดสำเนียงเข้าใจยาก ถ้าพูดกันต่อหน้าไม่ยากมากเพราะเราสามารถคาดเดาบริบทสีหน้าท่างทางได้ แต่ถ้าเป็นการประชุมผ่านโทรศัพท์จะเข้าใจยากมาก แต่ด้วยความที่เรามีพื้นฐานในเนื้องานที่ทำ และเข้าใจศัพท์เฉพาะทางก็ยังพอถูไถผ่านไปได้..

แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปแย่แน่ ๆ ก็เลยต้องพัฒนาภาษาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็เลยโทรไปปรึกษาเพื่อนซึ่งก่อนหน้านี้ระดับภาษาใกล้เคียงกัน แต่พอย้ายไปทำงานกับชาวต่างชาติก็เก่งภาษาอังกฤษขึ้นมาก

หลังจากที่ได้เคล็ดลับมาก็นำมาทดลองปรับให้เข้ากับจริตของตัวเองและวันนี้ผมเล่าให้ฟังครับ

เพิ่ม Skill การฟังเป็นอันดับแรก

ตอนขับรถไปทำงานตอนเช้าเปิด Youtube ฟังรายการภาษาอังกฤษ และค่อยปรับระดับความยากขึ้นไป

Level 1

รายการ “ลูกก๊อฟ English Room” อันนี้เหมาะสำหรับเริ่มต้นมาก ๆ ให้เลือกแขกรับเชิญที่เราชื่นชอบและพอฟังได้ เพราะระดับภาษาของแขกรับเชิญแต่ละคนก็แตกต่างกัน ฟังแค่เสียงก็พอ (ถ้าขับรถอันตราย) ไม่ต้องอ่านซับแรก ๆ ฟังรู้เรื่องไม่เป็นไร สักพักเราจะเริ่มแยกคำออกแต่ยังติดเรื่องคำศัพท์ พอเราได้ยินคำบางคำบ่อย ๆ ก็เอามาค้นหาใน Google เราจะจำได้เรื่อย ๆ เป็นธรรมชาติ (แต่เสียดายรายการนี้ไม่ทำต่อแล้วแต่ก็สามารถดูคลิปย้อนหลังได้ครับ)

Level 2

หลังจากฟังครูลูกก๊อฟเริ่มเข้าใจสังเกตุได้จากเริ่มฟัง Intro รายการได้ (แรก ๆ ผมจะฟังไม่ออก 555) ก็ลองเปลี่ยนฟังเป็น Podcast We need to talk ของ The Standard ไม่แน่ใจว่าตอนนี้คุณโบว์จะทำต่อหรือปล่าวเพราะติดตามมาสักพักจนคุณโบว์ผู้ดำเนินรายการไปคลอดลูก

Level 3

เริ่มฟังคลิปพูดของ Jackma ที่เค้าไปพูดที่ต่าง ๆ ผมคิดว่าฟังเข้าใจง่ายแล้วเริ่มขยับไปฟังพวก Teds Talk ในเรื่องที่เราสนใจ

ให้ฟังวันละประมาณ 15-30 นาทีก็พอแต่ทำทุกวัน ความสม่ำเสมอสำคัญมาก ถ้าทำได้ติดต่อสัก 3 เดือนก็จะเริ่มฟังออกเยอะแล้วจะสนุกมากขึ้น แต่อย่าลืมคำไหนที่ได้ยินบ่อย ๆ แต่ไม่รู้ความหมายให้เปิดหาความหมายเรื่อย ๆ เราจะจำได้แบบไม่ต้องพยายามท่องจำให้เหนื่อย

เพิ่มคำศัพท์ในหัว

ตอนเริ่มงานใหม่ ๆ หัวหน้าก็จะมอบหมายให้อ่านพวกเอกสารคู่มือต่าง ๆ แน่นอนว่าเป็นภาษาอังกฤษล้วน ๆ ผมก็เริ่มอ่านและเดาความหมายจากบริบท อาจจะยังไม่ต้องเข้าใจ 100% คำศัพท์ไหนที่เจอบ่อย ๆ แต่ไม่ทราบความหมายให้ขีดเส้นใต้ไว้ แล้วเปิดคำแปลเขียน Post-it แปะไว้ที่เห็นชัด ๆ พอเราหันไปเจอบ่อย ๆ มันจะจำได้

ฝึกพูด

สำหรับผมน่ากังวลที่สุด บางครั้งเวลาจะไปพูดเรื่องอะไรกับหัวหน้าก็เตรียมท่องไป มันก็จะเป็นศัพท์แปลก ๆ หรือประโยคแปลก ๆ ที่เค้าไม่ใช้กัน หัวหน้าก็จะทวนในสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อ แล้วพูดประโยคที่เค้าใช้กัน ผมก็จะเริ่มจำแบบธรรมชาติและพูดตามได้ (ถ้าสังเกตุจะคล้าย ๆ การเรียนรู้การพูดของเด็ก)

เคล็ดลับคือต้องพยายามพูดเยอะ ๆ เช่นตอนขับรถกลับบ้านผมจะโทรไปหาเพื่อนคุยภาษาอังกฤษกันสัก 15 นาที

ยอมรับเลยว่าช่วงแรกแกรมม่ามั่วมาก แต่ค่อย ๆ ดีขึ้น ส่วนใหญ่เกิดจากที่พูดผิดพูดถูก แล้วคนที่เราคุยด้วยเค้าแก้ให้ อย่าไปกลัวครับพูดไปเลย คนต่างชาติเค้าเข้าใจและเห็นในความพยายามของเรา

แต่ก็มีคนไทยบางคนจะแซวเราบ้าง (ก็เหมือนเวลาใครพูดภาษาอังกฤษเลียนแบบสำเนียงอเมริกันในห้องเรียนตอนมัธยม ก็จะโดนเพื่อนล้อ) แต่เราอย่าคิดมากและก็ต้องผ่านไปให้ได้ สุดท้ายเราก็เก่งขึ้นครับ

การเขียน

การเขียนสำหรับผมไม่ยากไม่ง่าย ถ้าไม่ได้เป็นทางการมากนัก เพราะเราจะมีเวลาเปิดตัวอย่างประโยคคำ แปลใน Google Translate เวลาเขียน email คำไหนเขียนผิด Outlook ก็จะเตือนให้เราแก้อยู่แล้ว ช่วงแรกไม่ต้องเน้นให้ถูกแกรมม่า 100% แค่สื่อสารให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยปรับให้สละสลวยมากขึ้น พยายามเลียนแบบประโยคจาก email คนอื่น

เวลาจดบันทึกส่วนตัวก็เขียนเป็นภาษาอังกฤษไปเลย ให้ตัวเองเข้าใจก็พอ

เรื่องของการฝึกภาษาอย่าไปกลัวความผิดพลาดเพราะมันจำเป็นต้องผิดพลาด เป็นเรื่องธรรมชาติของการเรียนรู้

เช่นเวลาใครไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศจะเข้าสู่โหมดการเอาตัวรอด ถ้าไม่พูดก็ไม่ได้กินข้าว อาจจะอดตาย ก็ต้องพยายามพูดเพื่อซื้ออาหารจนได้

จุดประสงค์ของภาษาคือการสื่อสาร แค่ทำให้อีกฝ่ายนึงเข้าใจ ถึงไม่ถูกแกรมม่าก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วครับ

ทุกวันนี้ผมก็สื่อสารภาษาอังกฤษในการทำงานแบบสบาย ๆ แต่ก็ยังไม่ได้เก่งอะไรมากมาย ยังต้องพัฒนาแบบต่อเนื่องอีกเยอะ อย่าลืมนะครับลงมือทำไม่ต้องกลัวผิดพลาดและทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ