Review Book : ยืนบนท้องทุ่งแห่งจิตใจ
ผู้เขียน คุณ อ๊อก ซู พาร์ค

จิตใจนั้นเป็นเรื่องดูเหมือนเรียบง่ายแต่ลึกลับซับซ้อน มีการศึกษาการทำงานของจิตใจมากมายหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นทางศาสนาหรือวิทยาศาสตร์…แต่ยังไม่มีใครตอบคำถามได้ทุกแง่มุม

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะมาทำความรู้จักจิตใจของตัวเอง…เพื่อพบความสุขในชีวิต

ผู้เขียน คุณ อ๊อก ซู พาร์ค ได้ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาจากประสบการณ์จริง ทั้งในการบรรยาย พูดคุยกับเยาวชน ตลอดถึงบำบัดนักโทษในเรือนจำ ประสบการณ์และความปรารถนาดีจำนวนมากเหล่านั้นทำให้ผู้เขียนมีความเข้าใจผู้คนอย่างลึกซึ้ง..

หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนออกมาจากความเข้าถึงจิตใจของผู้คน ซึ่งถูกถ่ายทอดให้คนทั่วไปอย่างเรา ๆ เข้าใจได้ง่าย อ่านสนุก ลื่นไหล มีเรื่องราวประกอบที่น่าสนใจ เช่นเรื่องของการกล่าวสุนทรพจน์ที่ยิ่งใหญ่ของหัวหน้าเผ่าซีแอตเทิลในอเมริกา, นักโทษหญิงที่กระทำความผิดโดยการใช้มีดแทงลูกแบเบาะเสียชีวิต, ชายหนุ่มผู้ถูกผู้หญิงสาวหลอกจนหมดตัวจนต้องกลายเป็นคนเลี้ยงหมู…

ผมจึงขอเชิญชวนให้ทุกคนลองอ่านหนังสือเล่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีชีวิตที่ราบรื่นหรือคนที่เจอปัญหาหนักหนาในชีวิต ผู้ที่ท้อแท้สิ้นหวัง คุณจะได้กำลังใจจากเรื่องราวในหนังสือและอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงไปสู่หนทางที่สดใสในวันข้างหน้า


ขอขอบคุณ Mind Book series ที่ส่งหนังสือดี ๆ มาให้อ่าน และยังมีอีกหลายเล่มเช่น “เธอคือใครที่ลากฉันไป” , “ห้างสรรพสินค้าจิตใจ”, “เราที่ไม่ใช่เรา ที่อยู่ในใจเรา” อ่านจบแล้วจะมาเล่าให้ฟังนะครับ

สำหรับใครที่สนใจหนังสือและกิจกรรมต่าง ๆ ของ Mind Book series สามารถเข้าไปดูรายละเอียดในเพจ https://web.facebook.com/mindbookseries


ขอเชิญทุกท่านร่วมเดินทางเข้าสู่ความมหัศจรรย์ของโลกของจิตใจไปด้วยกัน
(เนื้อหาต่อไปนี้จะเป็นการสรุปเนื้อหาที่ผมประทับใจ อาจจะมีสปอยบ้างเล็กน้อยนะครับ ^^)


[บทที่ 1] เหมือนดังเสือดาวที่กลับสู่ป่า

มีเด็กในชนเผ่าหนึ่งได้เลี้ยงเสือดาวตั้งแต่มันยังตัวเล็กและให้กินข้าวต้มเป็นอาหาร ในขณะที่หัวหน้าเผ่าตักเตือนและมีความกังวลสัญชาตญาณความโหดร้ายของเสือดาวแต่ถ้าฆ่าลูกเสือดาวจะทำให้เด็ก ๆ เสียใจ

เหตุการณ์ผ่านไปเสือดาวตัวนั้นก็เติบใหญ่และยังเป็นเพื่อนที่น่ารักของเด็ก ๆ จนวันหนึ่งเด็กคนหนึ่งเกิดอุบัติตกเขาได้รับบาดเจ็บ ด้วยความเป็นห่วงเสือดาวตัวนั้นรีบวิ่งมาแล้วเลียแผลบริเวณหัวเข่า ทันทีที่ได้ลิ้มรสเลือดสัญชาตญาณความดุร้ายของสัตว์ป่าจึงถูกปลุกขึ้นมา และเริ่มทำร้ายเด็กที่บาดเจ็บและเพื่อน ๆ จนเสียชีวิตแล้ววิ่งหายเข้าไปในป่า

จิตใจของเราก็เช่นกัน เรามีจิตใจที่ดีงาม อบอุ่น คุณพ่อแม่ที่รักลูก แต่ในจิตใจของทุกคนก็มีจิตใจที่ชั่วร้ายหลับไหลอยู่ข้างในเหมือนสัญชาตญาณของเสือดาวที่โหดเหี้ยม ไม่ว่าจะเป็น ลามก มุสา น่าขยะแขยง ล้วนซ่อนอยู่ภายในตัวเราเหมือนลูกของเสือดาว…

จะไม่กลับเข้าเรือนจำอีก

คนที่อยู่ในเรือนจำเป็นระยะเวลานานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถทำเรื่องไม่ดีได้ ก่อนจะออกจากเรือนจำมักมีความเชื่อว่าตัวเองจะไม่มีทางทำชั่วได้อีกและจะไม่มีวันกลับมาในเรือนจำได้อีก

แต่หลังที่ออกจากเรือนจำ คนเหล่านั้นมีโอกาสที่จะทำความชั่วได้และมักกลับเข้ามาในเรือนจำอีก เพราะโอกาสที่จะได้กระทำความชั่วได้ปลุกสัญชาตญาณสัตว์ป่าภายในจิตใจที่หลับไหลในเรือนจำ

ร่างกายของเราถ้าถูกเอ็กซเรย์จะสามารถเห็นอวัยวะภายในได้และไม่สามารถเห็นความเกลียด ลามกความชั่วที่ไหลเวียนอยู่ในจิตใจเราได้ เพราะฉะนั้นคนส่วนใหญ่จึงคิดว่าตัวเราเองเป็นคนดีใช้ได้


[บทที่ 2] คนเช่าสวนองุ่นที่ไม่รู้จักบุญคุณ

มีสวนองุ่นสวนหนึ่งเจ้าของได้ปลูกองุ่นพันธ์ดีหาได้ยาก วางระบบต่าง ๆ ไว้อย่างยอดเยี่ยมเช่น มีรั้วกั้นไว้รอบ มีหอสูงไว้เฝ้าดู และเจ้าของได้สร้างโรงยำองุ่นไว้ด้วย

วันหนึ่งเจ้าของสวนมีความจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศหลายปี จึงฝากสวนไว้กับชายผู้หนึ่งและขอค่าเช่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ชายผู้นั้นก็ย้ายครอบครัวเข้ามาอยู่ในสวน เนื่องจากมีองุ่นพันธุ์ดีหลังจากเก็บเกี่ยวแล้วจึงนำไปขายซึ่งขายหมดภายในพริบตา ชีวิตของครอบครัวของคนเช่าสวนดีขึ้นมากมีเงินใช้มากมาย มีคุณภาพชีวิตที่ดี เขาและครอบครัวมีจิตใจที่ขอบคุณเจ้าของสวนผู้มีเมตตาและหวังจะตอบแทนเจ้าของสวนผู้ใจดี..

เมื่อเวลาผ่านไปถึงเวลาที่ต้องจ่ายค่าเช่าสวน แต่เขากลับปฏิบัติกับคนของเจ้าของสวนอย่างเลวร้าย และสุดท้ายได้ลงมือฆ่าลูกชายของเจ้าของสวนเพื่อหวังจะยึดสวนเป็นของตัวเอง.. เกิดอะไรขึ้นกับความตั้งใจอันดีงามในตอนแรกของชายผู้เช่าสวนองุ่น

คนส่วนใหญ่คิดว่าตัวเองเป็นคนดีไม่คอยระวังสัญชาตญาณของเสือดาวที่ดุร้ายในจิตใจและทำตามสัญชาตญาณที่ไม่ดีเหล่านั้น จนบางครั้งก็ทำเรื่องผิดพลาด โดนคนอื่นหลอกบ้างโกงบ้าง แต่มักจะโดนตัวเองหลอกเสียส่วนใหญ่

มีคนมากมายที่วิ่งเข้าหาความมืดและความทุกข์ เพราะถูกตัวเองหลอกอยู่ร่ำไป


[บทที่ 3] สุนทรพจน์ที่ยิ่งใหญ่ของหัวหน้าเผ่าซีแอตเทิล

ในอดีตเกาหลีได้ถูกปกครองโดยญี่ปุ่น หลังจากได้รับเอกราชก็ได้เกิดสงครามกลางเมืองทำให้สภาพความเป็นอยู่อดอยาก ความสุขของผมในตอนนั้นก็แค่ต้องการมีอาหารกินจนอิ่ม ปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนคนมีรายได้มากขึ้นทั้งอาหารการกินเครื่องนุ่งห่มหรือแม้แต่การเดินทางก็ยังดีกว่าประธานาธิบดีในสมัยก่อนมาก

พอความเจริญทางวัตถุเข้ามาจิตใจของคนก็ยิ่งซับซ้อน ดุดัน และไร้ความปราณีกว่าคนสมัยก่อนมาก คนมากมายสนใจแต่ตัวเอง ถ้าไม่ใช่เรื่องของตัวเองก็ทำไม่รู้ไม่ชี้

หลังจากคนยุโรปค้นพบทวีปอเมริกา ก็เกิดการย้ายถิ่นฐานเข้าไปอยู่อย่างมากมาย คนในท้องถิ่นของทวีปอเมริกาคือเผ่าอินเดียแดงมีหัวหน้าเผ่าชื่อซีแอตเทิล ได้รับจดหมายจากรัฐบาลอเมริกาเพื่อขอซื้อที่ดินจากพวกเขา แน่นอนว่าเผ่าอินเดียแดงไม่มีทางเลือกและไม่มีทางต่อต้านได้เพราะอาวุธของพวกเขาคือธนูในขณะอีกฝ่ายคือปืน

ซีแอตเทิลได้ถามกลับไปว่า “เขาส่งสารบอกว่าอยากจะซื้อดินแดน แต่ท้องฟ้าและความอบอุ่นของแผ่นดินนั้น เขาซื้อขายกันอย่างไร”

ด้วยความประทับใจต่อสุนทรพจน์ของซีแอตเทิล รัฐบาลของอเมริกาก็ได้ตั้งชื่อเมือง ๆ หนึ่งว่าซีแอตเทิลพร้อมทั้งดูแลชาวพื้นเมืองเป็นอย่างดี จากที่เคยอยู่เต้นและเคยล่าสัตว์เพื่อประทังชีวิต ก็มีโรงเรียนมีบ้านพักอาศัยที่สะดวกสบายและไม่จำเป็นต้องต้องออกล่าสัตว์เพื่อประทังชีวิตอีก

ความเป็นอยู่สบายขึ้นความต้องการความหรูหราเข้าครอบงำจิตใจ พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นแต่จิตใจกลับแย่และพังทลาย

พวกเขาบางส่วนออกล่าสัตว์เพื่อความสนุกสนาน เริ่มเล่นการพนัน ดื่มเหล้า ยุ่งกับยาเสพติดจนชีวิตมุ่งไปสู่ความเสเพลและอ่อนกำลัง

เมื่อจิตใจที่งดงามความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้หายไป ทุกคนยึดติดกับความพึงพอใจส่วนตัว ทรัพย์สินส่วนตัว ทุกคนยึดติดกับคำว่า “ของฉัน”

หลังจากมีความเจริญทางวัตถุมากมายก็พบว่าอัตราการฆ่าตัวตายของคนอินเดียเพิ่มสูงขึ้นมากจนเป็นปัญหาระดับชาติ

สุนทรพจน์ของหัวหน้าเผ่าซีแอตเทิลเข้ามาก้องอยู่ในใจเรา “จะมีใครบ้างที่จะรู้สึกขอบคุณกับอากาศที่สูดหายใจ จะมีใครบ้างที่จะขอบคุณแสงแดด และเห็นชีวิตที่สวยงามของดอกไม้กลางทุ่งหญ้าที่กำลังบาน


บทที่ 4 ผู้หญิงที่ปลูกความเศร้าในจิตใจ

เด็กผู้หญิงคนหนึ่งแม่ได้หย่าร้างกับพ่อแล้วทิ้งให้เธออยู่กับพ่อเพียงลำพัง เธอไม่เคยเข้าใจว่าทำไมแม่ต้องทิ้งเธอไป เธอเอาเก็บตัวในห้องเพียงคนเดียวกับความอัดอั้นอยู่ในใจและความเศร้า จนวันหนึ่งเธอตัดสินใจที่จะตาย แต่การฆ่าตัวตายบางครั้งก็ไม่อาจสำเร็จโดยง่าย จากการฆ่าตัวตายครั้งที่สาม พ่อของเธอเลยไปขอให้อาจารย์ช่วยเหลือ…ทุกอย่างเปลี่ยนไปด้วยการมอบความรักซึ่งทำให้จิตใจที่โศกเศร้าภายในแทนที่ด้วยความขอบคุณ

คนที่กระทำความชั่วจะเริ่มจากความคิดที่ไม่ดี จิตใจเหล่านี้จะเริ่มเติบใหญ่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นเหมือนการเติบโตของทารก เมื่อสิ่งไม่ดีเติบใหญ่จนไม่สามารถควบคุมได้จึงเกิดการกระทำผิด เพราะฉะนั้นไม่ควรปล่อยความคิดทีลามกให้เติบโตเกินความควบคุม

จิตใจที่เต็มไปด้วย ความลามก ความกลัวและความสิ้นหวัง สามารถเติมเต็มได้ด้วยคำขอบคุณ และความรัก เราปลูกต้นอะไรเราก็จะได้ผลของต้นนั้น


บทที่ 5 ผู้หญิงผู้ยืนอยู่ริมเหวแห่งความกลัว

นักโทษผู้หญิงคนหนึ่งกระทำความผิดโดยการใช้มีแทงสามีและลูกสาวแบเบาะเสียชีวิต

จริง ๆ แล้วเธอคิดว่าลูกของเธอน่ารักและเป็นสิ่งที่ดีงาม แต่เธอเกิดความกลัวในใจว่าจะมีใครนำมีดมาแทงลูกของเธอเสียชีวิต สามีของเธอได้แค่ปลอบแต่ก็ไม่เข้าใจ

หลังจากเวลาผ่านไปเธอก็รู้สึกเหนื่อยล้าและรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย ความคิดด้านลบเข้าครอบงำเลยเถิดไปว่าหลังเธอตายสามีต้องมีมีผู้หญิงคนใหม่และผู้หญิงคนใหม่ได้ทำร้ายลูกของเธอทำให้เธอเกลียดสามีเธอเป็นอย่างมาก ทั้งที่ความเป็นจริงยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์เหล่านั้นเลย

ความคิดด้านลบได้ถูกใส่มาในผู้หญิงคนนี้อย่างเป็นระบบ และเป็นความคิดที่เกิดขึ้นกับอาชญากรที่ผู้เขียนได้พบเจอ
ความกลัวผู้หญิงคนใหม่ของสามี(ในจินตนาการ) ทำร้ายกลั่นแกล้งลูกของเธอทำให้เธอฆาตรกรรมลูกของเธอเองเพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาทำร้าย และฆ่าสามีด้วยความโกรธแค้นที่จะมีผู้หญิงคนใหม่(ในจินตนาการ) เธอคิดว่าเธอทำแบบนี้เพราะเธอรักลูกมาก

เธอถูกวิญญาณชั่วใส่ความคิดชั่วร้ายเข้าไป ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและโศกนาฏกรรม

“ในขณะนั้นฉันไม่มีสติเลย ฉันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างครอบงำและลากฉันไป” นี้คือคำพูดที่ออกจากปากผู้ต้องขังนับไม่ถ้วน

ในตัวเราจะมีความคิดที่ดีและไม่ดี มีสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราอยู่ในนั้น เรื่องไม่ดีเกิดขึ้นถ้าเราทำตามความคิดชั่วและเรื่องที่ดีจะเกิดขึ้นถ้าเราไม่ทำตามความคิดที่ไม่ดี


บทที่ 6 คาร่า เด็กสาวที่ทำให้บิดาร้องไห้ถึงสองครั้ง

การตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะเลิกเล่นเกมส์หรือยาเสพติด อาจเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ถ้ายังมีจิตใจชอบมัน คุณก็ยังหันใบเล่นมันอีก ถ้าคุณอยากเล่นเกมส์คุณต้องมีกิจกรรมอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่าคุณถึงจะเลิกมันได้

คนเราไม่อาจจะมีความสุขได้ด้วยการพยายามให้ตัวเองมีความสุข แต่จะมีความสุขได้จากการปลูกความสุขในจิตใจ

พ่อคะ หนูเป็นลูกสาวที่แย่มาก

ระหว่างการบรรยายที่ค่ายที่ไอวายเอฟเวิลด์แคมป์ ผู้เขียนได้บรรยายถึงความดีของพ่อและเชิญชวนทุกคนให้โทรหาพ่อเพื่อบอกความรู้สึกภายในใจและอะไรที่รู้สึกผิด

เช้าวันต่อมามีคุณพ่อของเด็กที่ชื่อคลาร่ามาหาที่แคมป์ฯ หลังจากที่ทั้งคู่เจอกันก็ได้กอดกันและร้องไห้ด้วยความปีติเป็นอย่างมาก

เหตุการณ์ก่อนหน้าที่ทำให้คลาร่ากับพ่อต้องหมางใจกัน เพราะคลาร่าได้เดินทางไปอยู่แคนนาดากับแฟนหนุ่มโดยไม่ฟังคำทักท้วงของพ่อเพราะท่านต้องการให้เธอเรียนจบก่อน พ่อได้ไปร้องไห้อ้อนวอนที่สนามบินแต่คลาร่าไม่สนใจ

หลังจากไปอยู่อยู่แคนนาดาชีวิตก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด คลาร่าจึงได้เดินทางกลับมาที่เม็กซิโก คลาร่ารู้สึกผิดต่อพ่อเป็นอย่างมาก หลบหน้าพ่อทั้งที่สนามบินและตอนอยู่ที่บ้าน

หลังจากที่คลาร่าโทรหาแล้วพูดว่า “พ่อคะ หนูขอโทษ” หลังจากการบรรยายของผู้เขียนที่ค่ายไอวายเอฟเวิลด์แคมป์ บางอย่างที่ขวางกั้นจิตใจของคลาร่าและพ่อได้พังทลายลง ทั้งสองจึงสามารถกลับมาแสดงความรักต่อกันได้


บทที่ 7 จดหมายของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกส่งมาจากเรือนจำ

จากประการณ์ของผมแล้ว ผมคิดว่าการทำไร่ที่มีความสุขที่สุดในโลกคือการทำไร่คน การทำไร่คนนั้นไม่สามารถกำหนดเวลาได้ เพราะบางคนอาจจะใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วันทำให้จิตใจของเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงและมีความสุขได้แต่สำหรับบางคนอาจต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี หรือ 20 ปีพวกเข้าถึงจะออกผลแห่งความสุขได้

ดินทำให้ต้นไม้เติบโต

เมื่อเรานำเมล็ดพันธ์สักเมล็ดหนึ่งไปปลูกลงในดินอันแสนด้อยค่า เมล็ดนั้นจะแตกยอดอ่อน มีใบไม้งอกขึ้น

“ถ้าอย่างนั้น ถ้าผมเป็นดิน ผมก็คงทำให้ดอกไม้ผลิบานได้เหมือนกันสินะ ถ้าผมกลายเป็นดินอันไร้ค่า”

ผู้ต้องขังที่ถูกคุมขังมาแล้วกว่า 20 ปี

ทุกครั้งที่เค้าอยู่คนเดียวเงียบ ๆ จึงได้แต่ถูกความรู้สึกผิดต่อบาปครอบงำไว้อย่างแน่นหนา แต่ภายนอกกลับแสดงออกมาเหมือนกับว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ถึงแม้ภายนอกกลับแสดงออกมาเหมือนกับว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ถึงแม้ว่าในส่วนลึกของจิตใจของชายหนุ่มคนนี้จะรู้สึกทุกข์ทรมานทุกครั้งที่คิดถึงครอบครัวลูก ๆ รวมถึงคนอื่น ๆ

ผลอันแสนงดงามที่เก็บเกี่ยวจากไร่แห่งจิตใจ

แน่นอนว่า แอปเปิล ลูกพีช หรือมะม่วงที่ถูกสร้างและเจริญเติบโตจากดินนั้นก็สวยงามและมีรสชาติดี แต่ผมคิดว่าผลที่งดงามที่สุดคือผลของการเปลี่ยนแปลงที่ถูกสร้างขึ้นในท้องทุ่งแห่งจิตใจ

ผมรู้สึกมีความสุขมากที่ได้เห็นว่าเยาวชนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในความมืด ถูกผูกมัดด้วยความบกพร่องด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการสื่อสาร หรือการติดเกมส์ สามารถหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้นได้หลังจากที่พยายามดิ้นรนมานาน


บทที่ 8 นักเรียนชายผู้ชนะพิษแมงป่อง

เหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นกับคนและพฤติกรรมทั้งหมดล้วนเป็นเหตุมาจากจิตใจทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าข้างในจิตใจมีอะไร ก็จะปรากฎเช่นนั้นในชีวิตใจทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าข้างในจิตใจมีอะไร ก็จะปรากฏเช่นนั้นในชีวิต จิตใจเป็นตัวควบคุมร่างกายของเรา

เมื่อคุณเรียนรู้มากขึ้นและรู้อะไรมากขึ้น “ตัวตน” ของคุณจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาคือ ผู้คนประเมินตัวเองสูงกว่าความเป็นจริง

เขาว่ากันว่าเมื่อชายคนหนึ่งตกหลุมรักใครสักคน เขาจะมอบรีโมตคอนโทรลของตัวเองไว้ให้กับผู้หญิงคนนั้น

มีชายคนหนึ่งซึ่งเป็นบุตรคนเล็กมีความเชื่อมั่นว่าเขามีความสามารถที่จะทำให้ตัวเองร่ำรวยได้ จึงขอส่วนแบ่งมรดกส่วนของเขาจากพ่อและเดินทางไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศ

เขาได้ไปเจอหญิงโสเภณีคนหนึ่งที่มีความสามารถแสดงออกทุกรูปแบบเพื่อขโมยจิตใจของผู้ชาย บุตรคนเล็กก็ตกหลุมรักโสเภณีคนนั้นและไม่ว่าเขาจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่ง่ายเลยที่เขาจะเป็นอิสระจากเธอ ดังคำกล่าวที่ว่า “หากตกลงไปในกระแสน้ำวน ไม่ว่าจะในทะเลหรือแม่น้ำมันยากที่จะหลบหนีมาได้

หลังจากส่วนแบ่งมรดกหมดหญิงโสเภณีคนนั้นก็ทิ้งเขาไปเพราะเธอแค่ต้องการเงินของเขา

บุตรคนเล็กผู้ต้องการเป็นมหาเศรษฐีก็ต้องไปทำอาชีพเป็นคนเลี้ยงหมูและอดอยากเป็นอย่างมาก

ในขณะที่ร่างกายนอนอยู่ที่เล้าหมู่จิตใจก็กลับบ้านไปอยู่กับพ่อของเขา สุดท้ายเค้าก็กลับไปอยู่กับพ่อในที่สุด

*ถ้าคนเป็นมะเร็ง ร่างกายเท่านั้นที่เป็นมะเร็ง ไม่ได้เป็นมะเร็งที่ใจ แต่ผู้ป่วยมะเร็งนั้น จิตใจก็มักจะเป็นมะเร็งไปด้วย เราจะคิดแต่เรื่องมะเร็งเท่านั้น และโรคมะเร็งจะเริ่มมีอำนาจเหนือเรา นั้นคือเหตุผลที่เราต้องมองไปยังคนที่รักเราและคนที่เป็นห่วงเรา

ฉันคงต้องตายเพราะยาเสพติดเหมือนกัน

“เจมส์ตายเพราะยาเสพติด? งั้นฉันก็คงตายเพราะยาเสพติดเหมือนกัน”

ด้วยความคิดเช่นนี้ เขาจึงพยายามเลิกยาเสพติด แต่ไม่ว่าเขาจะต่อสู้ดิ้นรนเลิกเลิกยาเสพติดแค่ไหน เขาก็เลิกไม่ได้ ดูเหมือนว่าจิตใจของผู้คนจะแข็งแกร่งและเข้มแข็ง แต่เมื่อจิตใจติดพันกับบางสิ่งบางอย่าง จิตใจเรากลับไร้พลังโดยสิ้นเชิง

.

จุดสนในหลักของโลกปัจจุบันคือโลกวัตถุที่มองเห็นได้ด้วยตา เราจะเห็นได้จากวิธีการรักษาโรคที่ผู้คนมุ่งความสนใจไปกับการเพาะเชื้อและการทดลองต่าง ๆ เพื่อจะรักษาโรคมากกว่า เนื่องจากคนเราไม่สามารถถ่ายภาพ หรือเห็นโลกของจิตใจที่น่าตื่นตาตื่นใจได้

ถ้าคนเรารู้เรื่องโลกของจิตใจสักนิด และลองใช้จิตใจสักเล็กน้อยก็สามารถป้องกันความทุกข์ที่จะเข้ามา ขับไล่ความเศร้าออกไป และมีความสุขได้


บทที่ 9 “คิม ยุน อก” ผู้จบการศึกษาวิชาการรักษาโรคมะเร็ง

มีชายคนหนึ่งชื่อลาเมคเขามีลูกชาย 3 คน คนโตชื่อยาบาลพอใจกับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตที่เพียงพอ คนกลางยูบาลไม่ได้มีความพอใจแค่ปัจจัยพื้นฐานแต่เค้าต้องการเสียงดนตรีที่ไพเราะ คนสุดท้ายคือทูบัลคาอินเค้ามีความสุขในการใช้อาวุธออกไปล่าสัตว์แม้อาจจะเป็นอันตรายต่อตัวเองแต่เขาก็รู้สึกเร้าใจ

เรื่องราวบุตรชายทั้งสามของลาเมคได้ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่หลายพันปีที่แล้ว แต่ก็ยังสามารถแสดงให้เห็นถึงจิตใจของมนุษย์ได้อย่างชัดเจน คนทุกคนมองหาสิ่งที่ใหม่ สิ่งที่ดีกว่า สิ่งที่มีความสุขมากกว่า และสุดท้ายก็จะถูกสิ่งที่เร้าใจกว่านำไป

เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่เห็นผู้คนส่วนมากจมอยู่กับความต้องการเหล่านั้นและตะเกียกตะกายดิ้นรนอยู่อย่างนั้น

ทุกครั้งที่ผมได้รถคันใหม่ ผมรู้สึกพอใจกับมัน แต่ผมก็จะรู้สึกคุ้นชินกับความพึงพอใจอย่างนั้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีแค่ไหนผู้คนมักรู้สึกปรับตัวให้คุ้นชินกับสิ่งนั้นได้อย่างรวดเร็วนั้นคือเหตุผลที่คนเรารู้สึกเบื่อหน่ายและมองหาสิ่งที่ดีกว่าให้ความสุขมากกว่าเหมือนจิตใจย้ายมาจากยาบาลไปสู่ยูบาลและไปสู่บาลคาอินในที่สุด

จิตใจของผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง

หากจะช่วยผู้หญิงคนนี้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง สิ่งแรกที่ผมจะทำคือทำให้จิตใจของเธอเป็นอิสระจากมะเร็งก่อน ถ้าจิตใจเป็นอิสระจากมะเร็ง จิตใจก็จะมีความสุข

ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรก็เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อร่างกายของเราอ่อนแอ คุณถูกสิ่งไม่ดียั่วยวนใจจนหลงติดตามสิ่งนั้นในชีวิตของคุณเพราะว่าพลังจิตใจของคุณอ่อนแออยู่นั่นเอง

วันหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นได้ส่งภาพที่เธอสวมชุดครุยบัณฑิตและถือช่อดอกไม้ในมือให้กับผม โดยเขียนชื่อภาพนั้นว่า “จบการศึกษาวิชาการรักษาโรคมะเร็ง”


สนใจอ่านหนังสือเล่มนี้หรือเล่มอื่น ๆ ใน Mind Book Series สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่
https://web.facebook.com/mindbookseries

IYF ประเทศไทย (มูลนิธิเยาวชนสัมพันธ์นานาชาติ)
https://iyfthailand.com/project/mind-book-series/