เขียนโดย Tina Seelig
อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด

“เคล็ดลับพัฒนาความคิดและพลิกปัญหาให้เป็นโอกาส… ส่งตรงจากรั้วสแตนฟอร์ด”

เป็นหนังสือที่ผมอ่านจบไปนานมากแล้วอยู่ดี ๆ ก็อยากกลับมาอ่านอีกครั้งในขณะหนังสือใหม่ในสต๊อกก็ยังมีเป็นกระบุง ^^

ถึงจะเป็นหนังสือที่ออกมานานแล้วแต่ผมขอแนะนำสำหรับนักศึกษาที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่วัยทำงาน หรือผู้ที่ผ่านการทำงานและใช้ชีวิตมาสักพัก ไม่ว่าจะเป็นช่วงอายุ 20 30 40 50 ที่ยังรู้สึกเคว้งคว้างกับชีวิต….

ถ้าจะให้เปรียบเทียบเนื้อหาข้างในก็เปรียบเสมือนแผนที่และเข็มทิศสำหรับนักเดินทางที่มีเส้นทางไม่ทับซ้อนกัน เพราะเราก็ต่างมีเส้นทางเฉพาะบุคคล

ผมขอหยิบบางช่วงบางตอนที่ประทับใจมากบอกเล่านะครับ


เริ่มต้นด้วยคำถามที่น่าสนใจในห้องเรียนของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด “ถ้าคุณมีเงินแค่ 5 ดอลล่ากับเวลา 2 ชั่วโมงจะหาเงินอย่างไรให้ได้มากที่สุด” ถ้าเป็นคุณจะทำอย่างไร ลองคิดเล่น ๆ ก็ลงไปอ่านต่อนะครับ ^^

ทีมที่ชนะสามารถทำเงินได้มากว่า 600 ดอลล่าคิดเป็นผลตอบแทน 4,000 เปอร์เซ็นต์!!!

ทีมที่ได้เงินเยอะแทบไม่แตะต้องเงิน  5 ดอลล่าเลยเพราะเด็กไม่ได้ตีกรอบตัวเองเกี่ยวกับเงิน 5 ดอลล่านั่นเอง

ยกตัวอย่างทีมที่ทำเงินได้เยอะ ๆ เช่น

  • บางทีมเอาตัวเองไปรับจ้างต่อแถวจองคิวร้านอาหารชื่อดังที่ลูกค้ายอมจ่ายถึง 20 ดอลล่า
  • บางกลุ่มตั้งซุ้มหน้าสโมสรนักศึกษาเพื่อเติมเงินจักรยานฟรีและขอรับเป็นเงินบริจาคแทน
  • ทีมที่ทำเงินได้สูงสุดตัดสินใจว่าสิ่งที่มีค่าไม่ใช่เงิน 5 ดอลล่าหรือเวลา 2 ชั่วโมง แต่เป็นเวลานำเสนอ 3 นาทีในวันจันทร์มากกว่า พวกเขาตัดสินใจขายเวลาให้บริษัทแห่งหนึ่งที่ต้องการรับนักศึกษา พวกเขาสร้างโฆษณาความยาว 3 นาทีเพื่อแลกกับเงิน 650 ดอลล่า

เราจะแยกแยะกฎออกจากคำแนะนำได้อย่างไร?

ทุกวันนี้เราถูกกฎต่าง ๆ ควบคุมเช่นสังคมที่ทำงานหรือสถานศึกษา แม้แต่ตัวเราเองยังตั้งกฎสำหรับตัวเองไว้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นกรอบทางด้านอาชีพ รายได้ ที่อยู่อาศัย รถยนต์ที่ขับ การศึกษา แม้แต่ราศี ล้วนแต่กักขังเราไว้กับบทบาทใดบทบางหนึ่งและปิดกันความเป็นไปได้ที่มีอยู่มากมายมหาศาล…

แลร์รี่เพจ ผู้ก่อตั้งกูเกิลได้กล่าวว่า การมีเป้าหมายใหญ่ ๆ นั้นง่ายกว่าการมีเป้าหมายเล็ก ๆ เพราะการบรรลุเป้าหมายเล็ก ๆ มีเส้นทางที่เฉพาะเจาะจง แต่การบรรลุเป้าหมายใหญ่ มีเส้นทางมากมายให้เลือกเดิน…

หนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่สุดในการจัดการกับ ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้คือการถูกคนรอบตัวบอกว่ามันไม่มีทางสำเร็จได้หรอก

“อย่าขออนุญาต แต่จงขออภัย” บางความหมายของมันคืน “กฎมีให้ฝ่าฝืน” เพราะกฎส่วนใหญ่ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางให้คนที่ไม่รู้ว่าควรทำอะไร

การแหกกฎอีกวิธีหนึ่งคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากความคาดหวังที่คุณมีต่อตัวเองและความความคาดหวังที่คนอื่นมีต่อคุณ


ก่อนที่จะเกษียณพ่อไต่เต้าจากวิศวกร ผู้จัดการ ไปจนถึงผู้บริหารระดับสูง เคยดำรงตำแหน่งอาวุโสในบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่หลายแห่ง ฉันประทับใจในความสำเร็จของพ่อและเอาเป็นแบบอย่าง

ด้วยเหตุนี้ฉันจังไม่ค่อยแปลกใจเมื่อพ่อได้เห็นนามบัตรใหม่ของฉัน “ทีนา แอล ซีลิก ประธานบริษัท” ฉันก็ตั้งบริษัทและจัดพิมพ์นามบัตรของตัวเอง พ่อมองที่นามบัตรและมองหน้าฉันและพูดว่า “ลูกจะเรียกตัวเองว่าประธารบริษัทไม่ได้นะ” จากประสบการณ์ของท่าน คุณต้องรอให้สักคนเลือกคุณเป็นหัวหน้าคุณไม่สามารถแต่งตั้งตัวเองได้..

โลกของเรามีคนอยู่ 2 แบบนั่นคือคนที่ต้องรอให้คนอื่นอนุญาตก่อนจะลงมือทำสิ่งที่อยากทำและคนที่อนุญาตให้ตัวเองทำในสิ่งที่อยากทำ


คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสายงาน

วิธีที่ดีที่สุดในการเปลี่ยนสายงานก็คือการค้นหาว่าทักษะของคุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสภาพแวดลอมที่ต่างกันออกไปได้อย่างไร

โอกาสยังมีอยู่รอบตัวคุณเสมอถึงแม้มั้นจะดูไม่ค่อยเหมาะสมกับทักษะตามธรรมชาติของคุณ แต่ด้วยความคิดสร้างสรรค์เพียงเล็กน้อย คุณย่อมสามารถหาทางเชื่อมโยงโอกาสที่ผ่านเข้ามาให้เข้ากับทักษะของคุณได้


ถึงแม้การล้มเลิกโครงการเป็นเรื่องยากแต่ไม่ยากมากขนาดนั้นถ้าหากเราตัดสินใจทำตั้งแต่ต้นในระยะแรก ๆ ก่อนจะสูญเสียเวลาและพลังงานมากเกินไป

บ๊อบ ซัตตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมองค์กร ได้อธิบาย “กฎของดาวินชี” เขาพูดถึงการลาออกจากงานทันทีที่คุณพบว่าไม่เหมาะสมกับคุณ

ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะรู้ว่าไม่ควรนำต้นทุนจมมาพิจารณาในการตัดสินใจแต่ “การขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้” เป็นแรงผลักดันที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์เราอย่างมาก เราให้เหตุผลกับตัวเองและคนอื่นว่า เราทุ่มเทเวลาความพยายามและความทุกข์ยากปีแล้วปีเล่าให้กับบางสิ่ง ก็เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่คุ้มค่าและสำคัญ ไม่เช่นนั้นแล้วเราคงไม่ยอมทุ่มเทให้กับมันมากขนาดนั้นหรอก

อันที่จริงแล้วการล้มเลิกจะช่วยให้คุณรู้สึกว่ามีอำนาจอย่างน่าทึ่ง
คุณไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นผู้คุมที่คอยกักขังตัวคุณเองเอาไว้ในสภาพที่ไม่ได้เกิดประโยชน์อันใด
แต่การล้มเลิกควรทำอย่างสง่างาม


อาชีพการงานที่ประสบความสำเร็จไม่ได้เป็นเส้นตรง แต่มีทั้งขาขึ้นและขาลงเพราะเมื่อคุณตั้งใจดูกราฟของผู้ที่ประสำความสำเร็จส่วนใหญ่กราฟจะมีลักษณะขึ้นลง แต่ในระยะยาวจะมีแนวโน้มสูงขึ้น


ผู้ที่ช่ำชองในศิลปะแห่งการใช้ชีวิตนั้นแทบไม่แยกแยะระหว่างการทำงาน กับการเล่นสนุกแล้วปล่อยให้คนอื่นตัดสินกันเองว่าเขาทำงานหรือเล่นสนุกอยู่กันแน่..

เมื่อได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก เราย่อมมีแนวโน้มที่จะทุ่มเทการทำงานหนักกว่าปรกติโดยอัตโนมัติ


ทักษะที่จำเป็นสำหรับชีวิตทักษะหนึ่งคือการต่อรอง การปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นต้องการการต่อรองทั้งนั้น เราจะเสียเปรียบเป็นอย่างมากถ้าไม่มีทักษะด้านนี้

ความผิดพลาดที่พบบ่อย ๆ คือการตั้งข้อสันนิฐานต่าง ๆ ผิด โดยคิดว่าฝ่ายตรงข้ามมีความต้องการที่ตรงข้ามทุกอย่าง

กุญแจของการต่อรองที่ประสบความสำเร็จคือการค้นหาผลประโยชน์ของทุกฝ่าย

พวกเรามีความเชื่อผิด ๆ ที่ว่า “กำขี้ดีกว่ากำตด” เราเชื่อว่าการบรรลุข้อตกลงห่วย ๆ ยังดีกว่าการกลับบ้านมือเปล่า แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะการหันหลังให้กับข้อตกลงถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่ได้ผลดีเช่นกัน


วาดเป้ารอบลูกธนู

ให้เลือกคนที่มีความสามารถมากที่สุด (เปรียบเสมือนลูกธนู) จากนั้นค่อยเลือกงาน (หมายถึงเป้า) ให้สอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีที่สุด หากคุณยอมให้คนเก่ง ๆ ทำในสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีที่สุดผลลัพธ์ที่ออกมาจะน่าอัศจรรย์ใจมาก

สำหรับคนที่กำลังสมัครงานเป้าหมายของคุณควรหาคำตอบว่าตำแหน่งงานนั้นเหมาะสมกับคุณหรือไม่กล่าวคือคุณต้องรู้ว่าตัวเองเป็นลูกธนูที่เหมาะสมกับเป้าหรือปล่าว

สุดท้าย “อย่าพลาดโอกาสที่จะสร้างเรื่องอัศจรรย์”