ฟังเนื้อหาผ่าน Indybook’s Podcast

ตอนที่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ก็สงสัยว่าถ้าเราช้าเราจะชนะได้อย่างไร ก็ต้องโดยคนที่เร็วกว่าแซงไปหมด..จริงมั้ย

ก่อนจะวางหนังสือลงผมลองพลิกไปอ่านปกหลัง ผู้เขียนคือ คาซุโอะ อินาโมริ ชายผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น “เทพเจ้าแห่งการบริหารของญี่ปุ่น”

เขาคือผู้ก่อตั้งสองบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Kyocera และ KDDI เข้าได้รับเชิญจากรัฐบาลญี่ปุ่นให้เข้าไปกอบกู้วิกฤติของเจแปนแอร์ไลน์ที่ล้มละลายและมีหนี้สินกว่าสองล้านล้านเยนจนสามารถกลับมาผงาดได้ภายในเวลาแค่สองปีทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์บริหารธุรกิจสายการบินมาก่อน (ผมเลยอยากให้รัฐบาลไทยเชิญมาบริหารสายการบินประจำชาติของเราบ้าง ^^ หยอกๆ) หลังจากอ่านประวัติผมเลยตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านทันที…

บทความนี้ผมจะไม่เขียนรีวิวเป็นบทๆแต่เลือกเฉพาะบางประโยคที่ผมชื่นชอบ บางส่วนก็เป็นการสรุปจากความเข้าใจของตัวผมเอง แน่นอนว่าความเข้าใจหรือความชอบขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้นส่วนที่เหลือลองซื้อมาหามาอ่านกันรับรองว่าอ่านสนุกได้ประโยชน์เป็นอย่างมากแน่นอนครับ


ช้าให้ชนะ

สมการความสำเร็จ
ผลลัพธ์ของชีวิตและการทำงาน = ทัศนคติ x ความสามารถ x ความพยายาม

ทัศนคติ ค่า -100 ถึง 100
ความสามารถ 0 ถึง 100
ความพยายาม 0 ถึง 100

ทัศนคติเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกำหนดชีวิตเราเลย หมายถึง ความรู้สึกนึกคิด แนวทางในการดำเนินชีวิต และความเชื่อส่วนบุคคล

*คิดอย่างไรได้อย่างนั้น นี่คือกฎแห่งจักรวาล
*เราจะเป็นประตูสู่คลังความรู้ได้อย่างไร? จงหลงใหลในสิ่งที่ทำและพยายามให้เต็มที่
*ฝึกตัวเองให้มีวินัย “ตามวิถีทางแห่งกษัตริย์”
*มีเพียงสิ่งที่เราปรารถนาอย่างแรงกล้าเท่านั้นที่จะกลายเป็นจริง

*สิ่งสำคัญคือต้องจดจ่อกับสิ่งที่ที่ต้องการทั้งยามหลับและยามตื่น จดจ่อและคลั่งไคล้ ทุ่มเทอย่างหนักและเชื่อมั่นว่าจะต้องทำได้
*ความฝันจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อคุณมองเห็นภาพมันอย่างละเอียด เพราะเราคงไม่สามารถจินตนาการในสิ่งที่เราไม่สามารถทำได้

*ความสำเร็จต้องอาศัยการเตรียมพร้อมและการวางแผนอย่างรอบคอบ

*เมื่อคุณเริ่มทำอะไรใหม่ๆ การอยู่ท่ามกลางคนที่มองโลกในแง่ดีจะเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่า

*เมื่อวางแผนให้กลับมามองโลกในแง่ร้าย แต่พอลงมือทำให้กลับมามองโลกในแง่ดีอีกครั้ง

*นักผจญภัยที่มีความกล้าหาญแต่ขาดความรอบคอบคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน

*ความรู้สึกนึกคิด(ทางลบ) เป็นแม่เหล็กดึงเคราะห์ร้ายเข้ามา เราเจ็บป่วยก็เพราะจิตใจที่อ่อนแอดึงดูดความเจ็บป่วยเข้ามา – แต่การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องง่าย ผมมักลื่นไถล ออกนอกเส้นทางการคิดบวกอยู่บ่อยครั้ง

*โชคชะตาไม่ได้ถูกกำหนดมาตายตัวแต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้

*ถ้าประเมินความสามารถของตัวเองด้วยสิ่งที่ทำได้ในปัจจุบัน เราจะไม่มีวันทำสิ่งใหม่หรือเอาชนะความท้าทายที่เข้ามาในชีวิตได้ แต่ถ้าเราเชื่อในศักยภาพที่มีแล้ววางเป้าหมายให้สูงขึ้นเล็กน้อย ตลอดจนรักษาระดับความปรารถนาให้โชติช่วง เราก็จะประสบความสำเร็จและขยายขอบเขตความสามารถของตัวเองได้

*ชีวิตคือผลรวมของสิ่งที่ทำทุก ๆวัน

*แทนที่จะเสียเวลาไปกับการกังวลวันพรุ่งนี้หรือคิดเดาอนาคต คุณควรทุ่มให้กับทุกวินาทีของชีวิต เพราะนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำความฝันให้เป็นจริง

*คนธรรมดาจะกลายเป็นคนพิเศษก็ต่อเมื่อ พวกเขามุ่งมานะโดยไม่ปริปากบ่น ไม่ถอดใจยอมแพ้ และพยายามทำแต่ละวันให้ดีที่สุดเสมอ

*บางคนอาจแย้งว่าการใช้ชีวิตให้ผ่านไปแต่ละวันก็ยากพอแล้ว จะให้มานั่งตั้งความหวังอะไรอีก แต่อันที่จริวแล้วคนที่เข้มแข็งมากพอจนสามารถทำใหชีวิตเป็นแบบที่ตัวเองต้องการได้จะมีความฝันที่ทะเยอทะยาน

*มีคนมากมายที่เห็นผลแอปเปิลตกจากต้นเหมือนนิวตัน แต่เขาเป็นคนเดียวที่คนพบกฎของแรงดึงดูดของโลก เขาประสบความสำเร็จเพราะความปรารถนาอันแรงกล้าในการค้นหาคำตอบ

*หลักการอันเรียบง่ายคือสิ่งที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิต และการทำงาน

*จงยืนหยัดด้วยหลักการอย่างหลงไปตามกระแส
จะนำไปสู่ความสำเร็จและการมีชีวิตที่สมบูรณ์ เส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบมันทั้งขรุขระและต้องอาศัยวินัยในตัวเองอย่างมหาศาล บางครั้งก็ต้องเจ็บปวด และสูญเสีย

* การใช้ชีวิตตามหลักการ เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะมนุษย์เรามักพ่ายแพ้ให้กับสิ่งล่อตาล่อใจและความทะยานอยาก ถึงแม้จะเป็นต้นกำเนิดของพฤติกรรมที่ดี แต่เราอาจหลงลืม “ถ้าไม่มีวินัยมากพอ” เราจึงต้องหมั่นทบทวนการกระทำและฝึกควบคุมตัวเองอยู่เสมอจนเป็นความเคยชิน

*ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่ต้องทำงานหนัก ประสบการณ์จาการลงมือทำคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของเรา
จุดไฟให้ตัวเองด้วยการ รัก ในสิ่งที่ทำ

*คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มีไฟด้วยตัวเอง สามารถส่งต่อความกระตือรือร้นไปให้กับคนรอบตัว พวกเขาจะไล่ตามเป้าหมายก่อนได้รับคำสั่ง พวกเขาจะเดินหน้าไม่หยุดนิ่ง และใช้ชีวิตทำงานอย่างสร้างสรรค์

*คนที่ทำใจรักงานของตัวเองไม่ได้ทำยังไงดี?
ควรเริ่มต้นจากการทุ่มเทให้กับงานที่ทำก่อนจะทำให้เห็นความสุขท่ามกลางความยากลำบาก
ถ้าทุ่มเทใจและจิตวิญญาณลงไป คุณจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการและพบว่างานที่ทำน่าสนใจมากขึ้น

*ถ้าเอาชนะตัวเองไม่ได้ คุณจะไม่ประสบความสำเร็จเรื่องใดเลย รวมถึงไม่อาจสัมผัสศักยภาพสูงสุดของตัวเองได้

*ใครก็ตามที่ดูถูกคนทำงานหนัก กำลังซ่อนตัวอยู่ในกำแพงของความขี้เกียจและผัดวันประกันพรุ่งของตน

*คนที่เก่งจริงๆจะควบคุมตัวเองให้ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต คนที่แพ้ใจตัวเองแล้วเลี่ยงงานหนัก จะไม่สามรถใช้ศักยภาพที่ตัวเองมีสร้างความยิ่งใหญ่ได้

*ด้วยความที่ผมไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ผมจึงมองปัญหาตามความเป็นจริงโดยปราศจากอคติ จะสามารถตัดสินเรื่องต่างๆอย่างเหมาะสมและยุติธรรม

*ผู้นำต้องมีคุณธรรมมากกว่าความสามารถ
– การทุจริตไม่เพียงเป็นภัยต่อสังคม แต่ยังเป็นอันตรายต่อตัวเองด้วย
คุณสมบัติของผู้นำ จิตใจที่ดี มีความกล้าหาญ วาทศิลป์อันเฉียบคม ความสามารถ

*เคราะห์ร้ายและโชคดีเปรียบเสมือนปลายทั้งสองด้านของเชือกเส้นเดียวกัน เราควรซาบซึ้งกับทุกสิ่งที่เจอ

*เนื่องจากเราใช้เวลาในชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการทำงาน จึงไม่มีความสุขใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าความสุขประเภทนี้อีกแล้ว

*ไม่มีใครเป็นผู้เชี่ยวชาญในอาชีพของตัวเองได้หากไม่พยายามอย่างแน่วแน่ เราจะรู้ความหมายและคุณค่าของชีวิตก็ต่อเมื่อรักในงานที่ทำและพยายามให้เต็มที่เท่านั้น

*การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์และโลกใบนี้

*การทำประโยชน์ให้ผู้อื่นคือการเริ่มต้นของการทำธุรกิจ

*วิธีแสวงหาผลกำไรต้องตั้งอยู่บนความชื่อสัตย์
แรงขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลังการทำธุรกิจ ควรเป็นความตั้งใจ “หากำไรให้ตัวเองไปพร้อมๆ กับการสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น”

*เราต้อง “กระหาย” ที่จะมอบสิ่งดีๆให้ผู้อื่น และพยายามส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของคนในสังคมด้วย

* เสรีภาพนั้นมาพร้อมความรับผิดชอบ

* การเรียนรู้จากความพอดี จากกฎแห่งธรรมชาติ เล่าจื้อกล่าวว่า คนที่รู้จักพอคือผู่มั่งคั่งความพอใจในสิ่งที่มีคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง

*โชคชะตาเป็นสิ่งที่เบื้องบนกำหนดมาก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ ถ้าท่านคิดทำดี ท่านก็สามารถเอาชนะโชคชะตาและเปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่ดีได้

*หากเราพยายามคิดดีทำดี กฎของเหตุผลจะทำงานและเปลี่ยนชีวิตเราให้ดีกว่าที่โชคชะตาชีวิตกำหนดมา

*กฎของเหตุผล(กฎแห่งกรรม) ทำงานเที่ยงตรงเสมอ


ช่วงท้ายของเล่ม คุณอินาโมริ ได้เน้นในเรื่องของการพัฒนาด้านจิตวิญญาณ การรักษาศีลธรรม และทิศทางการพัฒนาประเทศญี่ปุ่นที่ถูกต้องคือเน้นคุณธรรมเป็นหลัก

ประโยคที่นักปรัชญาจีนอย่างเล่าจื้อกล่าวไว้ว่า “คนที่รู้จักพอคือผู้มั่งคั่ง” ความพอใจทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง แต่ความพอใจในสิ่งที่มีไม่ได้หมายถึงการยอมรับสถาพปัจจุบันโดยไม่พยายามทำอะไรใหม่ๆ ทำตัวเฉยชา

แต่หมายถึงการทำเหตุให้เต็มความสามารถที่มีแต่มีความสันโดษพอใจพอเพียงในผลลัพธ์ตางหาก

สำหรับคนที่ต้องการกาฟังเนื้อหาในบทความนี้สามารถฟังใน Podbean และ Youtube ตาม link ด้านล่างได้เลยครับ

  1. Anchor podcast : https://anchor.fm/indybook/episodes/IDB-Podcast-EP-6-ehov3q
  2. Youtube : https://www.youtube.com/watch?v=7zdp73nzEAk

By IndyBook